วันศุกร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2559

อันตรายจากรังสี UV ที่มาจากคอมพิวเตอร์



               คงมีน้อยคนจริงๆ นะคะ ที่จะคาดคิดว่าการนั่งทำงานกับคอมพิวเตอร์อยู่ทุกๆ วัน วันละหลายชั่วโมงนั้น ผิวหน้าของพวกเราจะโดนทำร้าย เพราะหน้าจอคอมพิวเตอร์นั้น จะปล่อยรังสี UVA และคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกมาจากทางด้านหน้า ด้านข้าง และด้านหลังจอคอมพิวเตอร์ค่ะ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดผิวคล้ำ กระ ฝ้า ได้นั่นเองนะคะ

ผลร้ายจากรังสีคอมพิวเตอร์ต่อผิวหนัง
1. อาการคัน ผลกระทบนี้เป็นเหมือนสัญญาณเตือน ที่ผิวเราได้รับรังสีในปริมาณที่ยังไม่มากเกินไป และเป็นระยะเวลาเพียงสั้นๆ เท่านั้นค่ะ ผิวหนังของเพื่อนๆ จะมีอาการดำขึ้นเล็กน้อยเพราะหลอดเลือดที่อยู่ใต้ผิวหนังเกิดการขยายตัว ทำให้ผิวหนังร้อนและแดงขึ้น เกิดอาการคันและอักเสบได้ในที่สุดค่ะ

2. ผิวหมองคล้ำ เกิดกระ ฝ้า ที่คาดไม่ถึง เพราะหน้าจอคอมพิวเตอร์มีไฟฟ้าสถิตประจุลบ และมักมีฝุ่นมาจับอยู่มาก แล้วร่างกายของพวกเราทุกคนก็เป็นไฟฟ้าประจุบวก เมื่อเพื่อนๆ นั่งใกล้จอคอมพิวเตอร์มากๆ ไฟฟ้าสถิตประจุลบที่หน้าจอ จะวิ่งเข้าสู่ใบหน้าที่เป็นประจุบวก
พร้อมกับพาฝุ่นผงที่ทำให้เกิดผื่นคัน โรคผิวหนัง มาที่บริเวณใบหน้าของเพื่อนๆ ได้ค่ะ

3. มะเร็งผิวหนัง สาเหตุนี้จะเกิดขึ้นจากการได้รับ รังสี UVA และคลื่นแม่เหล็ก ในปริมาณมากน้อย ตามระยะเวลาของระดับพลังงาน และคุณลักษณะของผิวหนังแต่ละคน ที่ได้รับรังสี UVA นี้ค่ะ บางคนอาจเกิดผลเร็ว บางคนอาจเกิดผลช้า ขึ้นอยู่กับลักษณะผิวของแต่ละคนที่แตกต่างกันค่ะ

 วิธีป้องกันอันตรายรังสีจากคอมพิวเตอร์  
1. เลือกใช้ครีมกันแดดที่มีส่วนผสมของ SPF, PA และ PABA Free ที่มีประสิทธิภาพครบถ้วน เพื่อช่วยปกป้องผิวไม่ให้ได้รับอันตรายจากรังสี UV อันเป็นต้นเหตุที่ทำให้ผิวหมองคล้ำค่ะ

2. ใช้แผ่นกรองรังสีติดไว้ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ซึ่งพอจะช่วยลดการกระจายรังสีจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ ซึ่งจะลดการกระจายรังสีได้มากหรือน้อยนั้น ขึ้นอยู่กับคุณภาพของแผ่นกรองรังสีค่ะ

3. ควรหลีกเลี่ยงการนั่งทำงานอยู่ใกล้ด้านข้าง และด้านหลังคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานมากๆ ทั้งนี้เพื่อป้องกันรังสี UVA และคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ขณะเดียวกันก็ควรนั่งห่างจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ประมาณ 24 นิ้ว หรือราว 2 ฟุต และควรห่างจากด้านข้าง และด้านหลังจอมากกว่า 30 นิ้วค่ะ

4. ปรับค่าแสงสว่างหน้าจอคอมพิวเตอร์ Darkness หรือ Brightness ให้เป็น 0 จะช่วยลดแสงที่ทำให้ผิวคล้ำผิวเสียได้ถึง 80% เชียวนะคะ เพราะแสงที่สว่างเกินไป สามารถทำลายเส้นประสาทภายในดวงตา และทำลายเซลล์ผิวอันอ่อนโยนของเพื่อนๆ ได้ค่ะ

               รู้อย่างนี้แล้ว แม้จะไม่ได้ออกไปโดนแดด ผิวของเราก็ยังโดนทำร้ายจากรังสี UV อยู่ได้เกือบตลอดเวลาเลย เพื่อนๆ จึงไม่ควรละเลยที่จะทาครีมกันแดด หรือป้องกันรังสี UV ให้กับผิวหน้าเราในทุกวันนะคะ ส่วนคราวหน้าเราจะนำสาระเกี่ยวกับรังสี UV จากที่ทำงานที่เพื่อนๆ คาดไม่ถึงมาฝาก บอกเดียวคำเดียวว่า “ห้ามพลาดเด็ดขาด” ค่ะ



แอดเราเป็นเพื่อน เพื่อติดตามผ่านช่องทางอื่นๆได้ที่นี่เลยค่ะ
 LINE ID : @chlitina-th

สาระความรู้และความงามน่าสนใจแบบนี้  แชร์แบ่งปันให้เพื่อนรู้บ้างสิ แชร์เลย!!!
Share: Line

ผิวคล้ำ จาก 7 สาเหตุที่สาวๆต้องเผชิญ


               แม้อากาศจะหนาวแต่แสงแดดแผดจ้าแบบนี้ สาวๆ ต้องเผชิญกับอากาศร้อนและแสงแดดตลอดเวลา แต่ปัญหาผิวหมองคล้ำนั้นมีอีกหลายสาเหตุ ที่สาวๆ อาจมองข้าม วันนี้เรามาช่วยไขข้อสงสัย 7 ปัญหาผิวหมองคล้ำที่สาวๆ อยากรู้ พร้อมยังแนะนำวิธีดูแลผิวให้สวยกระจ่างในทุกฤดูกาลมาฝากสาวๆ
     
               7 ปัญหาผิว ที่สาวๆ ส่วนใหญ่เผชิญได้แก่
     
       1. ผิวจะเริ่มหมองคล้ำขึ้น แม้ว่าจะโดนแสงแดดเพียง 60 วินาทีเท่านั้น! ซึ่งผิวหมองคล้ำบ่งบอกว่าเซลล์ผิวเริ่มถูกทำลาย เป็นเสมือนสัญญาณเตือนสาวๆ ให้รีบดูแลและปกป้องผิวก่อนที่ผิวจะโดนทำร้ายจนคล้ำเสียสะสม
     

       2. เครื่องสำอางยอดฮิต อย่างแป้ง บีบีครีม หรือครีมรองพื้น หากทาซ้ำบ่อยๆ โดย ไม่ล้างหน้าทำความสะอาดช่วงเย็นก่อนเข้านอนให้ผิวได้พักและหายใจ สร้างการอุดตันให้ผิวเกิดสิวและผิวหมองคล้ำในที่สุด
     
       3. สาวก Facebook และโซเซียลมีเดียพึงระวัง! คอมพิวเตอร์สามารถปล่อยรังสี UVA รวมไปถึงคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าทำให้ผิวหมองคล้ำได้
     
       4. ร่มกันแดดธรรมดา ไม่สามารถปกป้องผิวจากรังสียูวีได้ เพราะรังสียูวียังสามารถสะท้อนทำร้ายผิวจากกระจก หรือพื้นคอนกรีตเวลาเดินผ่าน แม้แต่ในร่มผิวก็ยังหมองคล้ำขึ้นได้ จากรังสียูวีที่ลอดผ่านจากทางหน้าต่างบ้าน กระจกรถ หรือแม้แต่บนเครื่องบิน
     
       5. ประเทศแถบเส้นศูนย์สูตรอย่างเมืองไทย เสี่ยงกับการที่ผิวหน้าจะเผชิญกับรังสียูวีโดยตรง เนื่องจากเป็นโซนที่อยู่ใกล้กับดวงอาทิตย์ และชั้นบรรยากาศ ช่วยกรองแสงได้น้อยกว่าประเทศแถบอื่น

     
       6. จุดด่างดำจากรอยสิว  จะยิ่งคล้ำเสียลงยิ่งกว่าเดิมหากโดนแสงแดดมากๆ เนื่องจากเซลล์ผิวเพิ่งฟื้นตัวจากการเกิดสิว ถ้าโดนแดดที่มีทั้งรังสียูวีเอและยูวีบีมากๆ จะยิ่งทำให้รอยแดงของสิวยิ่งคล้ำเสียและเป็นจุดด่างดำที่เข้มชัดขึ้น
     
       7. ความเครียด เป็นสาเหตุหนึ่งของผิวหมองคล้ำไม่สดใส ทำให้ผิวผลิตเมลานินมากกว่าปกติอีกด้วย

                รู้หลากหลายสาเหตุของผิวหมองคล้ำแล้ว  เรามาดูวิธีป้องกันผิวคล้ำเสียกันดีกว่า
     

       1. สาวไซเบอร์ควรนั่งห่างจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ประมาณ 14-24 นิ้ว พร้อมปรับค่าความสว่างหน้าจอคอมพิวเตอร์ให้เป็น 0 ก็จะสามารถช่วยลดแสงที่ทำให้ผิวคล้ำผิวเสียได้มากถึง 80%
     
       2. ล้างหน้าให้สะอาดทุกวันด้วยโฟมล้างหน้าผสมสครับ โดยเฉพาะในช่วงเย็นที่ผิวต้องเผชิญกับมลภาวะและแสงแดดมาตลอดทั้งวัน หากมีเวลาให้มาร์กและสครับผิวอาทิตย์ละ 1-2 ครั้ง
     
       3. รับประทานผักใบเขียวที่จะช่วยให้เซลล์ทำงานได้ดีขึ้น ควบคู่ผักสีเหลืองส้ม เช่น แครอท ฟักทอง ข้าวโพด ที่มีเบต้าแคโรทีนบำรุงให้ผิวสวย และรับประทานผักผลไม้สีแดงจำพวก แอปเปิ้ล ทับทิม มะเขือเทศ ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระช่วยฟื้นบำรุงผิว



แอดเราเป็นเพื่อน เพื่อติดตามผ่านช่องทางอื่นๆได้ที่นี่เลยค่ะ
 LINE ID : @chlitina-th

สาระความรู้และความงามน่าสนใจแบบนี้  แชร์แบ่งปันให้เพื่อนรู้บ้างสิ แชร์เลย!!!
Share: Line

วันอังคารที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2559

อยากหน้าใส อย่าไว้ใจครีมอันตราย


               ผู้หญิงทุกคนย่อมอยากจะสวย ผิวพรรณดีด้วยกันทั้งนั้น ซึ่งในด้านของผิวพรรณคงปฏิเสธไม่ได้ว่า สาวๆต้องการมีผิวขาวกระจ่างใส  เปล่งประกาย ดุมีสุขภาพดี ทำให้ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่ทำให้ผิวขาวนั้นได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มผู้บริโภคในเอเชีย รวมถึงประเทศไทย บริษัทเครื่องสำอางจึงได้ทำการคิดค้นผลิตภัณฑ์เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ครีมที่ทำให้ผิวหน้าขาวใส  ในปัจจุบันจึงมีผลิตภัณฑ์เหล่านี้วางจำหน่ายอยู่มากมายในท้องตลาด ซึ่งแต่ละผลิตภัณฑ์ก็มีส่วนประกอบของสารสำคัญที่ทำให้ผิวขาวแตกต่างกันไป

               "ไฮโดรควิโนน" เป็นสารเคมีซึ่งเป็นที่นิยมในการนำมาเตรียมครีมที่ทำให้หน้าขาวในอดีต เนื่องจากเห็นผลได้เร็วไฮโดรควิโนนออกฤทธิ์โดยการการยับยั้งกระบวนการสร้างเม็ดสีของผิวหนัง หรือที่เรียกว่า เมลานิน จึงมีผลทำให้ผิวขาวขึ้นได้ การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของไฮโดรควิโนนนั้นควรใช้กับผู้ที่มีปัญหาฝ้า หรือรอยด่างดำจากสิวที่รุนแรงและจะต้องมีเปอร์เซ็นต์ของตัวยาที่แน่นอนระบุอยู่ นอกจากนี้ควรใช้ในระยะเวลาที่จำกัด ไม่ควรใช้นานเกินไป และไม่ควรหยุดใช้ยาทันทีเนื่องจากอาจจะทำให้ผิวคล้ำลงกว่าเดิมได้จากการที่ผิวหนังเร่งผลิตเซลล์เม็ดสีมาทดแทน นอกจากนี้ไฮโดรควิโนนเป็นสารที่ทำปฏิกิริยากับแสงแดด ซึ่งหากทายาที่มีส่วนผสมของไฮโดรควิโนนแล้วไม่ทาครีมกันแดด ฝ้าจะดำกว่าเดิมได้

              ในปัจจุบันนี้ ไฮโดรควิโนน ได้ถูกสั่งห้ามใส่ในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่วางจำหน่ายทั่วไป อย่างไรก็ตามในคลินิกที่จ่ายยารักษาฝ้าโดยแพทย์ ยังสามารถจ่ายให้ผู้ป่วยได้ตามความเหมาะสมตามดุลยพินิจของแพทย์  การใช้ครีมที่มีส่วนผสมของไฮโดรควิโนนที่ไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของแพทย์ เช่น การหาซื้อครีมทาฝ้ามาใช้เอง อาจก่อให้เกิดอันตรายได้ ซึ่งผลิตภัณฑ์เหล่านี้มักจะผสมไฮโดรควิโนนในปริมาณสูงมากกว่าเกณฑ์ที่กำหนด คือ 3-5%[สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กำหนดให้ผสมสารไฮโดรควิโนนในการรักษาฝ้าได้ไม่เกิน 2%]ซึ่งอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงจากการใช้ได้ เริ่มจาก อาการระคายเคืองต่อผิว เกิดจุดด่างขาวที่หน้า ผิวหน้าดำ เป็นฝ้าถาวร รักษาไม่หาย ทำให้เกิดโรคผิวหนังขึ้น เกิดตุ่มนูนสีดำบริเวณโหนกแก้มและสันจมูก ซึ่งเป็นบริเวณที่ทายาบ่อยๆหากใช้ติดต่อกันเป็นเวลานานมากกว่า 6 เดือน จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเนื้อเยื่อภายในผิวหนังทำให้เกิดเป็นฝ้าถาวรสีน้ำเงินอมดำได้ ซึ่งอาจเกิดจากการที่ผิวหนังมีการปรับตัวให้สร้างเม็ดสีมากขึ้น รวมทั้งเพิ่มโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งผิวหนังด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน

              ดังนั้น ในส่วนของผู้บริโภคเองก็ควรต้องมีความใส่ใจในการเลือกซื้อเครื่องสำอางด้วย อย. ได้ระบุรายชื่อเครื่องสำอางที่ผิดกฎหมายไว้ในเว็ปไซท์ http://www.fda.moph.go.th/ซึ่งผู้บริโภคสามารถสืบค้นข้อมูลเหล่านี้ได้ด้วยตนเอง อย. ได้ให้ข้อสังเกตว่าเครื่องสำอางที่พบสารอันตรายมักให้รายละเอียดบนฉลากไม่ครบถ้วน เช่น ไม่ระบุแหล่งผลิตครั้งที่ผลิต และวันเดือนปีที่ผลิต ในการเลือกซื้อผู้บริโภคจึงควรระมัดระวังและควรสังเกตฉลากเป็นลำดับแรก ฉลากที่ถูกต้องจะต้องเป็นภาษาไทยมีข้อความบังคับครบถ้วน ได้แก่ ชื่อและประเภทผลิตภัณฑ์ ส่วนประกอบ วิธีใช้ชื่อที่ตั้งแหล่งผลิต วันเดือนปีที่ผลิต และปริมาณสุทธิการซื้อควรซื้อจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ ไม่ควรซื้อเพราะคำโฆษณาเพียงอย่างเดียว




แอดเราเป็นเพื่อน เพื่อติดตามผ่านช่องทางอื่นๆได้ที่นี่เลยค่ะ
   LINE ID : @chlitina-th


สาระความรู้และความงามน่าสนใจแบบนี้  แชร์แบ่งปันให้เพื่อนรู้บ้างสิ แชร์เลย!!!
Share: Line

วันจันทร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2559

6 ข้อควรรู้เกี่ยวกับครีมกันแดด



          ร้อน ร้อน ร้อน อากาศร้อน ๆ แบบนี้ ออกไปไหนก็ต้องเผชิญกับแสงแดดแรงจัดกันได้ทุกวัน เล่นเอาหลายคนผิวไหม้ หรือคล้ำกันไปเลยทีเดียว จนงานนี้หลายคนถึงกับต้องมานั่งกุมขมับ เพราะทาครีมกันแดดก่อนออกจากบ้านแล้ว แต่กลับยังคล้ำอยู่อย่างนั้น
          วันนี้คลิทีน่าก็เลยหยิบเอาวิธีเลือกซื้อครีมกันแดดให้เหมาะกับสภาพการใช้งานมาฝาก แถมท้ายด้วยวิธีใช้ครีมกันแดดที่ถูกต้อง เพื่อจะปกป้องผิวของคุณสาว ๆ ได้อย่างไรล่ะคะ พร้อมแล้วไปดูกันเลย

1.ดูค่า SPF และ PA
       ครีมกันแดดที่ดีควรจะป้องกันได้ทั้ง UVA และ UVB    สำหรับ UVA นั้น เป็นรังสีที่ทำให้เซลล์ผิวเสียหายจนเป็นรอยเหี่ยวย่นได้ แต่ยังไม่มีค่ามาตรฐานกำหนดเป็นตัวเลขแน่ชัด  ปัจจุบันจึงนิยมใช้ PA และเครื่องหมาย + เป็นตัวบอก โดยควรเลือกครีมกันแดดที่ระบุว่า PA++ ขึ้นไป ซึ่งดีที่สุดในตอนนี้ คือ ++++ นะคะ ส่วน UVB นั้น เป็นค่ากันแดดที่ป้องกันอาการแพ้ แดง แสบ และไหม้ของผิวหนัง มีค่า SPF ตั้งแต่15 ขึ้นไป

 2.ดูส่วนผสมอื่น ๆ เพิ่มเติม
          สาว ๆ หลายคนมักเลือกครีมกันแดดที่ SPF อย่างเดียว แต่รู้หรือไม่คะว่าส่วนผสมอื่นๆในตัวครีมก็สำคัญไม่น้อยเช่นกันค่ะ  หากต้องการประสิทธิภาพที่มากขึ้น ควรเลือกครีมกันแดดที่มีส่วนผสมของ ซิงก์อ๊อกไซด์, ไททาเนียมไดออกไซด์ ร่วมด้วยจะดีที่สุด

 3.เลือกให้เหมาะกับการใช้งาน 
         อย่างสาว ๆ ออฟฟิศ ที่ไม่ได้ออกไปไหน ไม่จำเป็นต้องใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงเกินไป เลือกเพียง SPF 15 ก็เพียงพอแล้ว ส่วนคนที่ชอบเล่นกีฬา หรือต้องอยู่กลางแจ้งนาน ๆ ทำให้มีเหงื่อออกได้ง่าย ควรเลือกครีมกันแดดที่มี SPF 30 ขึ้นไป และกันน้ำได้ (Water Proof หรือ Water Resistance) จะช่วยปกป้องได้ดีกว่า ส่วนสาว ๆ ที่จะลงว่ายน้ำ หรือไปชายทะเล ควรใช้ครีมกันแดดค่า SPF 30 ขึ้นไปเช่นกัน และทาซ้ำทุก 1 ชั่วโมง ที่สำคัญ ควรทาครีมก่อนลงน้ำครึ่งชั่วโมงจึงจะได้ผลค่ะ


4.สีผิวของแต่ละคน
          สาว ๆ ที่มีผิวขาว ควรเลือกใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงกว่าปกติเล็กน้อย เพราะผิวขาวจะไวต่อการรับแสงแดดมากกว่าคนผิวคล้ำนั่นเอง โดยควรเลือกดังนี้
ผิวขาวแบบชาวยุโรป เป็นผิวบางมาก เกิดผิวไหม้ง่ายมากหลังสัมผัสกับแสงแดด ควรใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูง ๆ (SPF 45-60)
ผิวขาวอมชมพูแบบคนเอเชีย เป็นผิวที่บอบบางมาก เกิดผิวไหม้ได้ไว ทำให้ผิวเป็นสีแทนได้ ควรใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF ค่อนข้างสูง (SPF 30-45)
ผิวขาวเหลืองในคนเอเชีย ผิวชนิดนี้บอบบางแต่ยังมีเมลานินอยู่บ้าง จึงสามารถทนต่อแสงแดดได้ดีกว่าผิว 2 ชนิดแรก ควรเลือกครีมกันแดดชนิดที่มีค่า SPF ปานกลาง (SPF30)
ผิวคล้ำ เป็นมีเมลานินสูง ไม่เกิดการไหม้ ไม่เกิดสีแทน จึงควรเลือกใช้ครีมกันแดดที่มี SPF ต่ำ (SPF 15) ก็เพียงพอแล้ว

5.วิธีทดสอบการแพ้ครีมกันแดด
          หากต้องการทดสอบว่า เราแพ้ครีมกันแดดหรือไม่ ให้ลองทาครีมกันแดดบริเวณใต้ท้องแขนทิ้งไว้ 15 นาทีแล้วสังเกตว่ามีอาการบวม แดงหรือไม่ ถ้าปรากฏอาการดังกล่าวแสดงว่าแพ้สารเคมีชนิดหนึ่ง อย่างไรก็ตามคนบางประเภท (delay sensitivity) อาจจะใช้เวลานานกว่าจะปรากฏอาการแพ้ จึงควรรอดูอาการถึง 24 ชั่วโมง หรือ 72 ชั่วโมง จึงจะสรุปได้ว่าไม่มีอาการแพ้จริง ๆ

6.วิธีใช้ครีมกันแดดที่ถูกต้อง
          เมื่อคุณสาว ๆ เลือกซื้อครีมกันแดดได้ตรงใจแล้ว เราก็มาดูกันต่อเลยว่า ควรจะใช้ครีมกันแดดอย่างไรให้เกิดประสิทธิภาพสูงที่สุด ซึ่งสิ่งที่ควรคำนึงถึงในการใช้ครีมกันแดด ก็คือ
จำนวนครั้งที่ทาต่อวัน
สาว ๆ ต้องคำนึงถึงเรื่องระยะเวลาในการป้องกันแดดของครีมกันแดดด้วย ซึ่งโดยทั่วไปอยู่ที่ 2 ชั่วโมงเท่านั้น และประสิทธิภาพก็จะค่อย ๆ ลดลง ทำให้ผิวคุณก็จะได้รับ UVA และ UVB เพิ่มมากขึ้น ดังนั้น ควรทาครีมกันแดดให้ได้ทุก ๆ 2 ชั่วโมงนะคะ ยิ่งหากคุณไปเที่ยวทะเล หรือออกแดดนาน ๆ ควรต้องให้ความสำคัญกับการทาครีมกันแดดให้มากเลยค่ะ แต่ถ้าคุณสาว ๆ ทำงานเพียงแค่อยู่ในห้องแอร์ หรือออฟฟิศ ทาเพียงวันละครั้งก็เพียงพอแล้วค่ะ
ปริมาณของครีมกันแดดที่ควรใช้
ด้วยราคาของครีมกันแดดที่ค่อนข้างสูง ทำให้สาว ๆ หลายคนใช้ในปริมาณที่น้อยนิด ไม่มากพอต่อการกันแดดในแต่ละวัน แต่สาว ๆ รู้ไหมคะว่า ปริมาณที่เหมาะสมสำหรับผิวหน้าและคอ คือปริมาณ 1 ช้อนชาเลยนะคะ ส่วนครีมกันแดดที่ใช้กับแขนและขา ปริมาณที่เพียงพออยู่ที่ 1 ช้อนโต๊ะค่ะ
อย่าลืมป้องกันตัวเองด้วย
          เนื่องจากครีมกันแดดไม่ได้ป้องกันได้ 100 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้นจึงควรเลี่ยงแดดควบคู่ไปด้วย หรือหาอุปกรณ์ในการป้องกันแดดมาเป็นตัวช่วย เช่น หมวก แว่นตา ร่ม เสื้อแขนยาว เป็นต้น
วิธีทาครีมกันแดด
           วิธีทาครีมกันแดดที่ถูกต้องควรทาบาง ๆ และเกลี่ยให้ทั่ว ๆ ไม่ควรทาย้อนขึ้นย้อนลง เพราะจะทำให้ครีม หลุดลอกได้ง่าย และภายหลังจากออกแดดแล้ว ควรอาบน้ำ ล้างหน้าให้สะอาด และทามอยส์เจอร์ และครีมบำรุงผิวทันที
          ได้รู้อย่างนี้แล้ว สาว ๆ ก็พอจะเรียนรู้เกี่ยวกับการใช้ครีมกันแดดมากขึ้นแล้วใช่ไหมคะ ถ้าอย่างนั้น เราก็มาเลือกใช้ครีมกันแดดให้ถูก และใช้ครีมกันแดดให้ถูกวิธี เพื่อผิวสวยจะได้ไม่ถูกแสงแดดทำร้ายกันดีกว่า


แอดเราเป็นเพื่อน เพื่อติดตามผ่านช่องทางอื่นๆได้ที่นี่เลยค่ะ
   LINE ID : @chlitina-th


สาระความรู้และความงามน่าสนใจแบบนี้  แชร์แบ่งปันให้เพื่อนรู้บ้างสิ แชร์เลย!!!
Share: Line

รู้จักใช้และเข้าใจ ครีมกันแดด


         ทุกวันนี้แดดก็ยังคงแรงอย่างต่อเนื่องนะคะ แล้วยิ่งแสงแดดเป็นตัวการทำลายผิวที่สำคัญ ทำให้เกิดผิวหนังไหม้ คล้ำ เกิดกระ ฝ้า หรือรอยเหี่ยวย่น และอาจเป็นปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงของการเป็นมะเร็งผิวหนังได้ด้วย น่ากลัวสุด ๆ จะออกจากบ้านทีนึงก็ไม่รู้จะหาอะไรมาป้องกัน หมวกก็แล้ว ร่มก็แล้ว ทาครีมกันแดดก็แล้ว แต่เอ๊ะ ! สาว ๆ คะ ครีมกันแดดที่สาว ๆ ทาอยู่เป็นประจำนั้น เลือกได้เหมาะสมและวิธีการทาที่ถูกต้องรึยังนะ ?

เรามารู้วิธีการทำงานของครีมกันแดดกันก่อน
                ส่วนผสมในครีมกันแดดจะทำหน้าที่ในการปกป้องผิวจากรังสี UV ด้วยการดูดซับรังสี ป้องกันแสง UV ไม่ให้ผ่านเข้าไปถึงชั้นผิว หรือทำให้รังสี UV แตกกระจายออกไปเพื่อไม่ให้เข้าทำร้ายผิวโดยตรง สำหรับคำแนะนำในการใช้ครีมกันแดด ครีมกันแดดที่ดีที่สุด คือครีมกันแดดที่สามารถที่จะป้องกันแสง UV ได้เพียงพอ สำหรับรังสี UV ก็แบ่งได้เป็น
รังสีจาก UV-A จะทำให้ผิวแก่ก่อนวัย หน้าคล้ำได้ ฉะนั้นเวลาไปทะเล แล้วผิวคล้ำเกิดจาก UV-A
รังสีจาก UV-B Burning คือผิวไหม้แดด เกรียมแดด อย่างกรณีไปอาบแดด แล้วผิวไหม้ ผิวเกรียม เกิดจาก UV-B
ฉะนั้นจึงต้องมีครีมกันแดดป้องกันทั้ง 2 อย่าง ทั้ง UV-A และ UV-B

แล้ว SPF คืออะไร
                SPF ย่อมาจาก Sun Protection Factor โดยค่าของการปกป้องแสงแดด ถูกกำหนดด้วยระบบของ SPF เอง โดยส่วนใหญ่จะคำนวณจากปริมาณจากการป้องกันรังสี UVB ตัวเลขของ SPF บ่งบอกถึงความสามารถในการปกป้องผิวจากการถูกเผาไหม้จากแสงแดด ได้นานเท่าไหร่ เช่น SPF15 หมายถึง ป้องกันผิวจากการไหม้ได้ 15 เท่า เช่น ปกติคุณออกไปสู่แดดโดยไม่ได้ทาครีมกันแดดแล้วผิวไหม้ภายใน 20 นาที ถ้าหากทาครีมกันแดด SPF 15 แล้วจะทำให้การที่ผิวจะถูกแสดงแดดทำลายผิวให้ไหม้นั้น ต้องใช้เวลาเป็น 15 เท่าของ 20 นาที หรือประมาณ 300 นาที (5 ชั่วโมง) ผิวถึงจะถูกไหม้จากแสงแดด
        เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่า  ค่า SPF สูง ๆ นั้น ไม่ได้หมายความว่าจะปกป้องแสงแดดได้ดีไปกว่า ค่า SPF ที่ต่ำกว่า  แต่หมายถึงการป้องกันได้นานกว่านั่นเองค่ะ ดังนั้นเลือกใช้ให้เหมาะสมกับการใช้ชีวิตประจำวันของเราดีกว่านะ     

 แล้ว PA คืออะไร
          ครีมกันแดดใหม่ ๆ ที่วางขายกันในตลาดมักประกอบไปด้วย UVA Filter และค่าที่วัดการป้องกันรังสี UVA เรียกว่า PA โดย PA ย่อมาจากคำว่า Protection Grade of UVA ในขณะนี้ยังไม่มีหน่วยวัดที่เป็นมาตรฐานในการวัดค่าการดูดซืมของรังสี UVA ดังนั้นจึงถือเอาคำว่า PA เป็นหน่วยวัดรังสี UVA อย่างไม่เป็นทางการ ค่า PA นั้นจะมี 4 ระดับคือ PA+,PA++ และ PA+++ PA++++
        PA++++ นั้นสำหรับผู้ที่ต้องการการปกป้องสูง (เจอกับแสงแดดจัด ๆ เป็นเวลานาน)
        PA+ สำหรับผู้ที่ต้องการปกแสงแดด จากกิจกรรมทั่ว ๆ ไป (อาจจะไม่ได้เจอกับแสงมากนัก)
        ดังนั้นสำหรับใครที่จะต้องเจอกับแสงแดดเป็นเวลาหลายชั่วโมง ให้เลือก PA++ หรือ สูงกว่านี้


จะซื้อครีมกันแดดต้องพิจารณาอะไรบ้าง
          ในปัจจุบันมีครีมกันแดดให้เลือกซื้ออย่างมากมายในท้องตลาด การเลือกครีมกันแดดที่ดีจะต้องพิจารณาถึงประสิทธิภาพในการป้องกันแสงแดด โดยดูจากค่า SPF (sun protection factor) ซึ่งก่อนอื่นคงต้องทำความเข้าใจก่อนว่ารังสียูวีในแดดมีอยู่ 2 ชนิด คือ UVA ซึ่งเป็นรังสีที่มีอยู่ตลอดทั้งวันตั้งแต่เริ่มมีแสงไปจนถึงพระอาทิตย์ตก และเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดริ้วรอยต่าง ๆ เมื่ออายุมากขึ้น ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้ออกไปตากแดด แต่หากนั่งทำงานริมหน้าต่าง ก็มีโอกาสได้รับรังสี UVA ได้ รังสีอีกชนิดคือ UVB ซึ่งเป็นสาเหตุของผิวไหม้แดดและหมองคล้ำ สามารถส่งผลให้เห็นได้ภายใน 24-48 ชั่วโมง
          โดยทั่วไปแล้ว การทาครีมที่มี SPF จะสามารถปกป้องได้เฉพาะรังสี UVB เท่านั้น แต่ไม่สามารถป้องกันรังสี UVA ที่ทำให้เกิดริ้วรอยได้ การเลือกซื้อครีมกันแดดที่ดีจะต้องเลือกชนิดที่สามารถป้องกันได้ทั้งรังสี UVA และ UVB โดยสังเกตจากข้อมูลที่ระบุไว้บนฉลากผลิตภัณฑ์

        ความเข้ากันได้และเหมาะสมกับสภาพผิว
          ครีมกันแดดที่ดีจะต้องเข้าได้กับสภาพผิวหน้าของเรา สามารถกระจายได้ดี ไม่ทำให้เกิดคราบ ครีมกันแดดในปัจจุบันมีในหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นเนื้อครีม เจล หรือโลชั่น ซึ่งจะเหมาะกับคนที่มีสภาพผิวต่าง ๆ กัน เช่น คนผิวมันควรเลือกชนิดที่เป็นเจลหรือโลชั่น เป็นต้น

          การเลือกใช้ครีมกันแดด
•             ใช้ครีมกันแดดทุกวัน ไม่ว่าจะฝนตกหรือแดดออก เพราะรังสียูวีสามารถผ่านเมฆ และลงมือทำร้ายผิวของคุณได้แม้วันที่ไม่มีแสงแดด
•             โยนครีมกันแดดหลอดเก่าทิ้งไปและซื้อครีมกันแดดหลอดใหม่ เพราะครีมกันแดดมีอายุการใช้งานได้เพียง 1 ปีหลังจากเปิดใช้
•             ควรใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF อย่างน้อยที่สุดเท่ากับ 15 ในวันธรรมดา และควรใช้ SPF ที่มีค่าตั้งแต่ 30 ขึ้นไป ในวันที่ต้องทำกิจกรรมกลางแจ้ง
•             ควรทาครีมกันแดดให้เพียงพอกับขนาดของร่างกาย อย่าขี้เหนียวครีมกันแดด (โดยปกติสำหรับผู้ใหญ่ควรทาอย่างน้อย 30 ซีซี) และสิ่งสำคัญคือห้ามลืมทาบริเวณที่ถูกแสงแดดเผาไหม้ได้ง่าย เช่น จมูกหรือหลังเท้า
•             ควรทาครีมกันแดดอย่างน้อย 20-30 นาทีก่อนออกไปสัมผัสกับแสงแดดเพราะครีมจะได้ซึมเข้าสู่ผิว และควรทาซ้ำทุก ๆ 90 นาที ถึง 2 ชั่วโมง เมื่อต้องอยู่กลางแจ้ง แต่ถ้ามีเหงื่อออกหรือเพิ่งขึ้นจากน้ำควรรีบทาซ้ำทันที
•             ควรใช้ครีมกันแดดชนิดกันน้ำ สำหรับการออกกำลังกายด้วยการว่ายน้ำ และให้พิจารณาฉลากข้างกล่อง ถ้าเขียนว่า "waterproof" จะสามารถปกป้องผิวได้ประมาณ 80 นาที แต่ถ้าเขียนว่า "water resistant" จะปกป้องผิวได้ประมาณ 40 นาที สิ่งที่ควรรู้อีกประการคือ ผลิตภัณฑ์กันแดดชนิดฉีดพ่น (สเปรย์) จะถูกน้ำล้างออกได้ง่าย และรวดเร็วกว่าชนิดครีมหรือโลชั่น
•             และเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด คุณยังสามารถปกป้องผิวของคุณได้ด้วยการสวมเสื้อผ้ามิดชิด สวมหมวกใบใหญ่ และสวมแว่นกันแดด เพื่อลดการสัมผัสกับรังสียูวี เพียงเท่านี้ผิวของคุณก็ได้รับการปกป้องและลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งผิวหนังได้อีกด้วยค่ะ



แอดเราเป็นเพื่อน เพื่อติดตามผ่านช่องทางอื่นๆได้ที่นี่เลยค่ะ
   LINE ID : @chlitina-th



สาระความรู้และความงามน่าสนใจแบบนี้  แชร์แบ่งปันให้เพื่อนรู้บ้างสิ แชร์เลย!!!
Share: Line

วันอาทิตย์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ฝ้า กระ จุดด่างดำ (Moles, Freckles and Dark Spot)


               ฝ้า  (Moles) คือ ผิวหนังที่มีลักษณะเป็นผื่นสีดำอมน้ำตาล เกิดขึ้นบนใบหน้าบริเวณโหนกแก้ม หน้าผาก คาง และเหนือคิ้วทั้ง 2 ข้าง ซึ่งเกิดจากความผิดปกติของเซลล์สร้างเม็ดสีที่ผลิตเม็ดสี (Melanin) ออกสู่ผิวหนังไม่สม่ำเสมอ บริเวณที่มีเม็ดสีมากจึงมีสีผิวเข้มกว่าปกติ ที่เรียกว่า ฝ้า โดยจะทวีความเข้มขึ้นเรื่อย ๆ หากไม่ได้รับการดูแลปกป้องที่ดีพอ 

ฝ้ามีอยู่ด้วยกัน 2 ชนิด คือ
  •  ฝ้าชนิดลึก  จะอยู่ในชั้นหนังแท้  มีลักษณะเป็นสีม่วงๆ อมน้ำเงิน ขอบเขตไม่ชัด รักษาได้ยากกว่าฝ้าชนิดตื้น  และไม่ค่อยหายขาด การใช้ยาทาฝ้าอ่อนๆ และครีมกันแดด  เพียงแต่ช่วยให้ดีขึ้นเท่านั้น
  •  ฝ้าชนิดตื้น  จะอยู่ในชั้นหนังกำพร้า  มีลักษณะเป็นสีน้ำตาล  ขอบเขตชัดเจน เกิดขึ้นง่าย และสามารถรักษาให้หายได้เร็ว นอกจากนี้ ฝ้าชนิดนี้ยังรักษาได้โดยการใช้ยาทาฝ้าอ่อนๆ และครีมกันแดดก็สามารถลบเลือนให้หายได้  และนอกจากนี้  ฝ้าที่เกิดบริเวณชั้นหนังกำพร้ายังมีความเข้มของสีผิวที่น้อยกว่าฝ้าที่เกิดจากชั้นหนังแท้

               กระ (Freckles)   มีลักษณะเป็นจุดเล็กๆ สีน้ำตาลเข้มที่กระจายอยู่ทั่วใบหน้า  ซึ่งบางครั้งอาจทำให้สับสนกับ ขี้แมลงวัน   ซึ่งขี้แมลงวันจะมีลักษณะสีดำเข้ม กลม ขอบเขตชัดเจน และอาจจะนูนขึ้นเล็กน้อย  และนอกจากนี้  สีของขี้แมลงวันจะไม่เข้มขึ้น เมื่อถูกกระตุ้นด้วยแสงแดด  แต่กระจะเข้ม  และเพิ่มจำนวนขึ้นเมื่อถูกกระตุ้นด้วยแสงแดด  โดยกระมีที่มาจากความผิดปกติของเซลล์สร้างเม็ดสีที่มากเกินไป และต่างจากฝ้าตรงที่กระจะเกิดขึ้นกับผิวหนังชั้นบน  หรือชั้นหนังกำพร้าเท่านั้น  และสามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้  ซึ่งมักพบในคนผิวขาวมากกว่าคนผิวดำ 

               จุดด่างดำ (Hyperpigmentation)  มีลักษณะจุดสีน้ำตาล ดำ เกิดจากการทำงานที่ผิดปกติของเซลล์เม็ดสีเมลานิน (Melanin) ถือเป็นสัญญาณแห่งความเสื่อมของผิว 

สาเหตุแห่งการเกิดฝ้า กระ จุดด่างดำ (Moles, Freckles and Dark Spot)
ฝ้า กระ จุดด่างดำเกิดจากปัจจัยต่างๆ ที่เป็นตัวกระตุ้นดังต่อไปนี้
  •  แสงแดด  รังสียูวีเอ, ยูวีบี และพลังงานความร้อนจากดวงอาทิตย์นั้น  เป็นตัวแปรสำคัญที่กระตุ้นให้เกิดการสร้างเม็ดสีผิวเพิ่มขึ้น  โดยเฉพาะในช่วงเวลาตั้งแต่ 10.00 16.00 น. ซึ่งเป็นช่วงที่มีความยาวของคลื่นรังสี 400 700 nm. จะไปกระตุ้นการสร้างเม็ดสีเมลานิน (Melanin) ให้มีปริมาณมากขึ้น ส่งผลให้ผิวดำคล้ำ เกิดฝ้า กระ จุดด่างดำ ตลอดจนผิวไหม้เกรียมแดด
  • ความเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนเอสโตรเจน หรือฮอร์โมนเพศหญิงในร่างกาย  จะมีผลทำให้กระบวนการสร้างเม็ดสีผิวทำงานผิดปกติ โดยจะเกิดขึ้นระหว่างการตั้งครรภ์, ระหว่างการใช้ยาคุมกำเนิด, ในช่วงวัยหมดประจำเดือน เป็นต้น
  • ยาบางชนิด เช่น ยารักษาวัณโรคไอเอ็นเอช (INH), ยากันชักไดแลนติน (Di-lantin) และยาที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์  สามารถทำให้เกิดผื่นดำคล้ายฝ้าได้
  •  ส่วนผสมในเครื่องสำอาง เช่น น้ำหอม, สี และสารกันเสียบางชนิด สามารถทำให้เกิดอาการแพ้ และรอยคล้ำแบบฝ้าได้
  • พันธุกรรม  จากรายงานการตรวจสอบประวัติผู้เป็นฝ้าและกระโดยละเอียด    มักพบว่า โดยส่วนใหญ่จะมีประวัติคนในตระกูลเคยเป็นฝ้าและกระมาก่อน
  • ภาวะทุพโภชนาการ  การขาดสารอาหารจำพวก วิตามิน และแร่ธาตุจำเป็นบางชนิด อาทิ วิตามินเอ, บี2, บี3, บี12, ซี, ดี หรือ อี  ก็ทำให้เกิดผื่นดำแบบฝ้าได้เช่นเดียวกัน
การป้องกันและการรักษาฝ้า กระ จุดด่างดำ
  • ควรหลีกเลี่ยงแสงแดด รังสียูวี และคลื่นพลังงานความร้อนต่างๆ  โดยการกางร่ม, สวมหมวก, คลุมผ้า เป็นต้น
  • ปกป้องผิวจากแสงแดด โดยการทาครีมกันแดดที่มี SPF ตั้งแต่ 15 ขึ้นไป แต่ต้องจำไว้เสมอว่า ไม่มีสารกันแดดชนิดใดที่มีคุณภาพเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ ยังไงก็ต้องหลีกเลี่ยงแสงแดดอยู่เสมอ 
  • พักผ่อนให้เพียงพอ ทำจิตใจให้ผ่องใส  ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ  รับประทานอาหารที่มีคุณค่าตามหลักโภชนาการ  ถือเป็นการหลีกเลี่ยงภาวะความไม่สมดุลของฮอร์โมน
  • หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์
  • การใช้ยา จำพวกกรดวิตามินเอ, กรดเอเซลาอิก, กรดโคจิค, อาร์บูติน, ลิโคริช, ว่านหางจระเข้, สารเฟดเอาท์, วิตามินซี, สารสกัดจากเปลือกสน และกรดทรานซามิก ช่วยทำให้สีของฝ้า กระ และจุดด่างดำจางลงได้ เพราะสารดังกล่าวจะออกฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของเซลล์เมลาโนไซด์ ซึ่งการรักษาจะต้องทายาทุกวันจนสีผิวเรียบเสมอกัน  หลังจากนั้นจะต้องค่อยๆ หยุดยา  เพราะถ้าหยุดยากระทันหัน  อาจจะกลับมาเป็นฝ้า กระ หรือจุดด่างดำได้อีกครั้งหนึ่ง  และควรจะต้องทาครีมกันแดดร่วมด้วย
  • การลอกหน้าด้วยสารเคมี  เช่น กรดไตรคลออะซิติก, กรดไกลโคลิก และน้ำยาเจสเนอร์ ช่วยเร่งกระบวนการผลัดเซลล์ผิว  ซึ่งจะต้องทำซ้ำทุก 1 2 สัปดาห์ เพื่อทำให้ฝ้า กระ จุดด่างดำจางเร็วขึ้น
  •  แสงเลเซอร์ สามารถช่วยลอกผิวชั้นนอกออกได้ ซึ่งมีผลให้ฝ้า กระ จุดด่างดำแลดูจางลงได้ แต่ต้องระวัง เพราะอาจก่อผลข้างเคียงได้  คือรอยแผลเป็น หรือรอยคล้ำ  ซึ่งจะยิ่งดำมากกว่าก่อนการรักษา  

แอดเราเป็นเพื่อน เพื่อติดตามผ่านช่องทางอื่นๆได้ที่นี่เลยค่ะ
   LINE ID : @chlitina-th


สาระความรู้และความงามน่าสนใจแบบนี้  แชร์แบ่งปันให้เพื่อนรู้บ้างสิ แชร์เลย!!!
Share: Line